Categories:
คนตาบอดกับการขึ้นเครื่องบิน
คุณผู้อ่านเคยสงสัยในใจกันไหมครับว่า “คนตาบอด” ขึ้นเครื่องบินมีวิธีการอย่างไรบ้าง มีอุปสรรคปัญหาหรือไม่อย่างไร วันนี้ “บอกเล่าเก้าสิบ” มีเรื่องราวที่ชวนสนใจมาบอกเล่าให้คุณคุณได้อ่านกันครับ
แรกเลยผู้เขียนเองก็มีความกังวล สงสัย อีกทั้งสนใจว่า “การเดินทางของคนตาบอดโดยเครื่องบิน” จะเป็นเช่นไร นึกเอาว่า มันคงดีนะ อย่างน้อยก็เร็วที่สุด ติดปัญหาเรื่องราคา มันคงแพงสิ?
ใช่ครับ มันแพงแน่หากไม่ได้จองล่วงหน้า แล้วเมื่อแพงมันก็แพงชนิดที่ว่า มนุษย์เงินเดือนอย่างคุณคุณหลายๆ ท่าน แทบจะซื้อเวลาอันแสนจะรวดเร็วนั้นไม่ได้เลย
ระหว่างเขียนนี้ ผมก็นั่งคิดถึงคุณผู้อ่านอยู่ว่า ผมจะเขียนบทความบอกเล่าเก้าสิบนี้ในแบบไหนดี ที่จะได้ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้อ่าน ที่อาจได้คาดหวังอะไรบางอย่างจากบทความนี้
แบบนี้ น่าจะเหมาะสมดีนะครับ ผมจะเขียนบอกเล่าเป็นข้อเป็นข้อไป เพื่อที่ผู้อ่านจะได้เลือกว่าจะอ่านข้อไหนก่อนหลัง หรือตั้งใจอ่านตั้งแต่ต้นก็ยินดียิ่งครับ
เอาเป็นว่า ผมจะจัดเรียงเนื้อหาดังนี้นะครับ
- check in take off & landing บอกเล่าถึงขั้นตอนกระบวนการต่าง ๆ ระหว่างอยู่ที่ท่าอากาศยาน
- การซื้อตั๋ว เตรียมตัวไปบินกัน
1.check in take off & landing บอกเล่าถึงขั้นตอนกระบวนการต่าง ๆ ระหว่างอยู่ที่ท่าอากาศยาน
“กริ๊ง” ผมได้รับอีเมลล์ก่อนวันออกเดินทาง 1 วัน ใกล้เคียงกับช่วงเวลาที่ผมสำรองจองตั๋วเอาไว้ รายละเอียดบอกให้เตรียมตัว ทบทวนเวลาที่จะออกเดินทาง ระหว่างสนามบินต้นทางและปลายทาง พร้อมชื่อสายการบิน
เช้าวันต่อมา ผมจัดเตรียมสัมภาระบรรจุใส่กระเป๋าเรียบร้อยตามนี้ น้ำหนักกระเป๋าไม่เกิน 7 กก. ของใช้ใด ๆ ที่เป็นของเหลวสั่งจาก 7_11 ขณาดไม่เกิน 100 มล.
(เป็นไปตามรายละเอียดจากการสำรองจองตั๋ว น้ำหนักกระเป๋าเปลี่ยนแปลงได้ตามแต่ราคาและสายการบิน)
เตรียมตามนี้แล้วทดลองหาน้ำหนักโดยตัวผมยืนช่างน้ำหนักกับเครื่องช่าง “โอ้ว!” น้ำหนักผมได้เท่าไหร่ไม่ขอบอก สมมุติว่า 95 ก็แล้วกัน ผมช่างอย่างนี้เพื่อหาค่าน้ำหนักที่เป็นไปได้มากที่สุดของผมอยู่สามครั้ง
เอาเป็นว่า เฉลี่ยอยู่ที่ 95 ต่อมายืนขึ้นช่างพร้อมกระเป๋า “โอ้ว!” เยี่ยมไปเลย ผมได้น้ำหนัก 101 กก. ทำอย่างนี้สามครั้ง ก็ไม่เกิน 101 บวกลบก็ 6 กก. เผื่อเกินไว้อีกสักหน่อย ก็โอเคร
ผมพร้อมจะขึ้นเครื่องแล้วครับ
“อ้อ” กระเป๋าโน้ตบุ๊กแยกออกมาจากกระเป๋าสัมภาระสำหรับการเดินทางครับ
ขณะนี้เวลา 18.35 น. ผมเดินทางมาถึงท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงก่อนเวลาบินราว ๆ 1 ชม.
ครั้งนี้ผมโดยสารจากท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงปลายทางที่ท่าอากาศยานดอนเมือง โดยสายการบินนกแอร์
ตอนนี้ผมยืนสไลด์ไม้เท้าขาวแบบเสาร์อากาศออกมาเรียบร้อย หันหลังกลับจะเดินเข้าไปที่ตัวอาคารผู้โดยสาร “ผู้โดยสารจะไปสายการบินไหนครับ” เสียงจากพี่รปภ.ใจดี ประจำสนามบินที่รีบมาให้ความช่วยเหลือ
“ผมไปสายการบินนกแอร์ครับ” รปภ. นำทางไปที่สายการบินนกแอร์ ต่อมาต้องแสดงบัตรประชาชนสำหรับพลเมืองไทย และหนังสือเดินทางสำหรับนักท่องเที่ยว
ไม่นาน เจ้าหน้าที่ Print ตั๋วหรือที่เขาเรียกกันว่า “Boarding Pass = บัตรโดยสาร” เพราะฉะนั้นหากได้รับแจ้งให้แสดง Boarding Pass มันก็คือไอ้เจ้าบัตรหรือตั๋วใบนี้ที่เจ้าหน้าที่เอาให้นั่นแหละครับ
ตอนนี้ 18.40 น. แล้ว เที่ยวบินของผมเวลา 19.50 น. ถือว่ามาก่อนเวลาตามวิศัยพื้นฐานของการขึ้นเครื่องบินที่ต้องปฏิบัติกันครับ
“เดี๋ยวผมจะพาไปที่ Gate ( เกท ) เลยนะครับ” ผมได้รับแจ้งอย่างนั้น
รับคำเสร็จ ก็เดินเข้าไปที่จุดตรวจ
ตรงนี้ หากครั้งแรกสำหรับการขึ้นเครื่องบินมันคงตื่นเต้นไม่น้อยครับ
กระเป๋าสตางค์ ไม้เท้า โทรศัพท์ โน้ตบุ๊กถูกหยิบออกมาจากกระเป๋า ใส่ลงที่ภาชนะที่เขาจะนำไปสแกน
น้ำดื่มที่เกิน 100 มล. ถูกขออนุญาตทิ้งหรือให้เราดื่มแล้วทิ้งแน่นอนในขั้นตอนนี้
ในขั้นตอนตรวจร่างกายบางครั้งอาจได้ถอดเข็มขัดถ้าคุณใส่ไป
เสร็จเรียบร้อยก็เดินผ่านการตรวจร่างกายแล้วรับของคืนบรรจุใส่กระเป๋าแล้วไปนั่งรอขึ้นเครื่องที่ gate
ต้องยอมรับว่า ที่นั่งรอนั้นกว้างใหญ่ดีมาก เข้าใจเอาว่าน่าจะทำมาเผื่อสำหรับไซส์ฝรั่ง ขนาดผมคนเอวบางร่างน้อย แบบอีก 5 โลร้อยยังนั่งได้สบายๆเลย
สักครู่ใหญ่ๆก็จะมีเจ้าหน้าที่มารับเราเดินไปขึ้นเครื่องครับ
ถึงเวลาแล้ว ผมเดินไปขึ้นเครื่อง โดยจับบริเวณข้อศอกของเจ้าหน้าที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ภายในสนามบินทุกคนดูเหมือนจะได้รับการอบรมหรือมีความเข้าใจในเรื่องนี้เป็นอย่างดี
ขึ้นลิฟท์เสร็จก็เดินไปตามทาง
สักครู่ เลี้ยวเข้าไปในอุโมงค์หรือที่เขาเรียกกันว่างวงช้าง ซึ่งจะถูกเชื่อมต่อเป็นเหมือนสะพานให้เดินลงไปจากอาคารผู้โดยสารไปยังตัวเครื่องบิน
จากการสังเกตพบว่า เป็นพื้นไม้ปูพรมมีลักษณะเป็นสะพานที่มีหลังคามีราวจับ
การเดินเป็นลักษณะราบต่ำลงไปจากอาคารผู้โดยสารไปยังตัวเครื่องบิน
ชั่วอึดใจ ผมเดินมาถึงบริเวณเครื่องบินเรียบร้อยครับมีเสียงเครื่องยนต์พร้อมกับเสียงแอร์โฮสเตสที่ยืนตรวจบอร์ดดิ้งพาส
แอร์โฮสเตสรับช่วงต่อ พาผมไปนั่งยังที่ซึ่งเขากำหนดไว้
ส่วนมากแล้วคนพิการ จะได้นั่งแถวหน้าๆ ไม่ได้ไปนั่งท้ายนั่งหลังหรือบริเวณปีกครับ
ไม่นานแอร์โฮสเตสได้เข้ามาแนะนำวิธีการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ
โดยเริ่มตั้งแต่การคาดเข็มขัดนิรภัยซึ่งไม่ยากเลยครับ
เพียงแค่ง้างปลายสายบริเวณอีกด้านหนึ่งแล้วเอาอีกด้านหนึ่งที่เราคลำดูแล้วเข้าใจแน่ว่ามันต้องเอาไว้สอด สวมเข้าไปในช่องว่างของปลายสายอีกด้านหนึ่งก็เป็นอันเรียบร้อยวิธีแกะหรือปลดรัดเข็มขัดก็แค่ง้างออกเท่านั้นเอง
หน้ากากออกซิเจนจะหล่นลงมาเมื่อภายในเครื่องบินสูญเสียออกซิเจนหรือแรงดัน มันก็คล้ายกันกับหน้ากากที่เอาไว้ใส่ดำน้ำนั่นแหละครับ
เสื้อชูชีพจะอยู่ใต้ที่นั่งของเราทุกคนเขาจะแนะนำวิธีการสวมใส่
แจ้งว่าประตูฉุกเฉินที่อยู่ใกล้เราที่สุดคือประตูใด
เท่านี้ก็เป็นอันเรียบร้อยครับ
หน้าที่ของผมต่อจากนี้คือ การรอเครื่อง Take off ทะยานขึ้นจากพื้นดินสู่ท้องฟ้าไปสู่ท่าอากาศยานดอนเมืองต่อไปครับ
เครื่องเริ่มออกวิ่งแล้วครับ ผ่านมาสักระยะได้ยินเสียงอัตราเร่งของเครื่องยนต์สูงขึ้น
ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงหวีดหวิวพร้อมกับเครื่องบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว
มีความรู้สึกเหมือนว่า รถวิ่งขึ้นสะพานด้วยความรวดเร็ว สะพานนี้ดูเหมือนจะสูงไม่มีที่สิ้นสุด
หากหูอื้อระหว่างนี้ท่านต้องคอยกลืนน้ำลายกันด้วยนะครับ
เครื่องบินทะยานขึ้นๆลงๆอยู่สักระยะก็เริ่มนิ่ง เข้าใจว่าเป็นการปรับระดับและทิศทางให้เหมาะสมใช้เวลาราวๆ 4-5 นาที
ผมอยู่เหนือจากระดับพื้นดินเท่าไหร่ไม่ทราบครับ แต่สัญญาณโทรศัพท์ไม่มีให้ท่านใช้แน่นอน
มาถึงช่วงนี้ เราแทบสังเกตไม่ได้ว่า ตอนนี้เครื่องกำลังมุ่งพุ่งทะยานไปด้านหน้าหรือไม่
หากเป็นคนสายตาปกติคงจะมองเอาแล้วรู้ ในความรู้สึกผมที่เป็นคนตาบอดแล้วนั่งอยู่แทบไม่รู้เลยครับหากไม่สังเกตดีๆ
โอ! ผมเผลอหลับไปตื่นมาหูแทบไม่ได้ยินเสียงวิ้งๆเลยครับต้องรีบกลืนน้ำลายแล้วแหละ
ไม่นานเครื่องก็ลดระดับลงค่อนข้างจะรวดเร็วในระยะแรก
แล้วมีการปรับระดับขึ้นๆลงๆราวๆสัก 5ถึง 10 นาที
ได้ยินสัญญาณแจ้งว่าเครื่องกำลังจะลงจอดที่ท่าอากาศยานดอนเมืองครับ
มีเสียงแจ้งเตือนให้รัดเข็มขัดสำหรับผู้ที่ยังไม่ได้คาดเข็มขัด แต่แน่นอนผมใส่มันและรัดมันไว้อยู่ตลอดเวลาเพื่อความปลอดภัย
ไม่นาน ผมก็ได้ยินการติดต่อสื่อสารเหมือนจะมีคำว่า Landing จากนั้นเครื่องก็ลดระดับลงก็รู้สึกเหมือนกับว่าล้อแตะพื้น บางครั้งก็มีเสียงดัง “คลึบ” บางครั้งก็ค่อยๆเกลี่ยพื้นรู้สึกตัวอีกทีเครื่องกำลังแลนดิ้งอยู่ที่พื้นเรียบร้อยแล้ว
หลังจากล้อแตะถึงพื้น สิ่งที่ท่านจะได้ยินก็คือเสียงดังวูสนั่น
พร้อมกับการเบรกของเครื่องบิน
เพื่อให้อยู่ในระดับที่ เครื่องบินจะแท็กซี่ไปจอดยังจุดจอดได้ครับ
ครั้งนี้ผมลงจากเครื่องบินโดยอาศัยงวงช้างดังที่กล่าวไปข้างต้นเช่นเดิมครับ
มีเจ้าหน้าที่มารับแล้วพาไปส่งยังจุดหมายที่เราต้องการ เช่น รอคนมารับที่ประตูไหน หรือโดยสารแท็กซี่ต่อไปครับ
บางครั้ง ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ผมเคยลงเครื่องโดยไม่มีงวงช้าง
ก็จะมีบันไดที่ถูกนำมาเชื่อมไว้กับตัวเครื่องบินเมื่อลงมาถึงพื้น
ผมก็จำเป็นจะต้องเดินไปขึ้นรถโดยสาร ที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้ผู้โดยสารแล้ว เป็นรถแบบยืนครับ
เหมือนรถเมล์ พาเรามาส่งยังอาคารผู้โดยสาร หากมีกระเป๋าก็รับกระเป๋า ซึ่งตลอดการเดินทางจะมีเจ้าหน้าที่รับช่วงต่อกันเป็นระยะไม่ต้องกังวลครับ
การซื้อตั๋ว เตรียมตัวไปบินกัน
ตรงนี้ผมไม่เคยมีประสบการณ์จองได้ด้วยตนเองสักครั้งครับ เพราะจองไม่สำเร็จสักที แต่ก็อาศัยเพื่อนที่สายตาปกติช่วยจองให้
เตรียมเงินในบัญชีให้พร้อม เตรียมบัตรประชาชนเลือกเวลาที่เหมาะสมและราคาที่พอใจ
เท่านี้ท่านก็เตรียมพร้อมที่จะโดยสารโดยเครื่องบินได้อย่างมีความสุขแล้วล่ะครับ
- เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน เพื่อแสดงความคิดเห็น
- ยอดวิว 159